ผมได้รับหนังสือเรื่อง “ปีศาจ” โดยเสนีย์ เสาวพงศ์ ในงานฉลองความสัมพันธ์ไทย – อินโดนีเซียครบ 65 ปี เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมาซึ่งในโอกาสการฉลองความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ก็ได้มีโครงการดีดี คือการแปลวรรณกรรมของทั้งสองชาติในอีกภาษาหนึ่ง วรรณกรรมเรื่อง “ปีศาจ” ได้รับการแปลเป็นภาษาอินโดนีเซีย ส่วนวรรณกรรมที่แปลจากภาษาอินโดนีเซียเป็นภาษาไทย คือ “Sukredi Gadis Bali” ครับ

จึงเป็นครั้งแรกที่ผมอ่านวรรณกรรมไทย เป็นภาษาอินโดนีเซีย

หลังจากอ่านจบไปเมื่อวาน ผมอยากถ่ายทอดความรู้สึกบางประการครับ

อย่างแรกเป็นข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาอ่านวรรณกรรมไทยที่แปลเป็นภาษาอื่น ผมอ่านไปโดยที่ออกเสียงชื่อตัวละคร หรือชื่อตัวเอกของเรื่องไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะในภาษาอินโดนีเซียไม่มีวรรณยุกต์กำกับให้ ผมจึงไม่รู้เลยว่าชื่อตัวเอกของเรื่องออกเสียงว่า “สาย สีมา” และมีพี่น้องชื่อ เช้า บ่าย 
คงเป็นปัญหาสำหรับวรรณกรรมไทยที่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ tonal language ครับ ก็เสียดายนิดนึง ผู้แต่งอุตส่าห์ตั้งชื่อให้คล้องกันขนาดนี้

อย่างไรก็ดี ด้วยความสามารถของผู้แปล ผมอ่านเนื้อเรื่องไปได้โดยไม่เสียอรรถรส อ่านแล้วก็อินไปเรื่อย ๆ กับ “ปีศาจที่อาจมาพร้อมกับกาลเวลา”

คุณเสนีย์ เสาวพงศ์ ดำเนินเรื่องแบบตรงไปตรงมาครับ มิติตัวละครอาจจะไม่หลากหลายนัก แต่ก็มีความดิบ เป็นตัวแทนแห่งอุดมการณ์ที่ชัดเจน 
ที่ผมชอบที่สุดมีสองตอนในหนังสือครับ

(1) ตอนที่โกวิทย์เชิญสายไปกินอาหารจีนหลังจากเสร็จธุระที่ศาล และพยายามตกลงกับสายเพื่อยอมความคดีพิพาทเรื่องที่ดินชาวบ้าน ซึ่งโกวิทย์เป็นทนายฝ่ายเจ้าของที่ดินใหม่ เจ้าของโฉนดที่จะไล่ที่ชาวบ้าน ส่วนสายเป็นทนายฝ่ายชาวบ้านที่เป็นผู้บุกเบิกที่ดินทำกิน ผมชอบที่สายให้เหตุผลเรื่องความยุติธรรมและยึดมั่นในหลักการ จรรยาบรรณแห่งอาชีพ

(2) ฉากงานเลี้ยงที่บ้านของรัชนี คงเรียกว่าเป็นไคลแมกซ์ของเรื่องเลย แม้ว่าฉากจะ cliche และเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นอาจเป็นเพราะเรามองจากมุมคนอ่านที่เกิดในยุค 80s 90s แต่หากมองจากมุมของผู้อ่านในช่วงที่หนังสือเขียนเสร็จใหม่ ๆ (กว่า 50-60 ปีมาแล้ว) ก็อาจจะอินและแอบเชียร์สาย สีมา ตอนโต้ตอบกับเหล่า “ผู้ดี” บนโต๊ะอาหาร โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณ พ่อของรัชนีที่ตั้งใจจัดงานเลี้ยงมาเพื่อเหยียดหยามสาย สีมา ที่มีพื้นเพเป็นลูกชาวนาโดยเฉพาะ 

นอกจากความแตกต่างระหว่างชนชั้น ยังมีอุดมการณ์ หลักการหลายอย่างที่อ่านแล้วก็คมจับใจ เป็นหนังสือที่ดีมากอีกเล่มหนึ่งเลยครับ

Loading